หนทางรวย คนรวยมีความคิดที่เชื่อว่า

1.คนรวยมีความคิดที่เชื่อว่า ฉันสามารถสร้างสรรค์ชีวิตของฉันได้



คนจนมีความคิดที่เชื่อว่า ชีวิตของฉันปล่อยไปตามยถากรรม ถ้าคุณต้องการชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย คุณจะต้องคิดอยากรวยก่อนเป็นประการแรก โดยที่คุณถือพวกมาลัยรถยนต์แห่งชีวิตคุณเอง คิดถึงการที่จะมีเงินได้
อย่างไร วิธีใด โดยมีความเชื่อว่า การเงินที่คุณปรารถนานั้น จะต้องมีได้ดังที่คุณปรารถนา

ต่อไปนี้เป็นการบ้านที่คุณต้องทำ ผมขอสัญญาว่า จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้ใน 7 วันข้างหน้า อยากให้คุณลองลงมือปฏิบัติ

-อย่างคิดถึงความยากจนอีกต่อไป
-อย่าบ่นว่า ฉันจะมีเงินได้อย่างไร มีความรู้น้อย การศึกษาต่ำ รูปร่าง
ไม่สง่างามเหมือนเขา
-แต่จงคิดแง่บวก คิดดีในด้านสร้างสรรค์ พัฒนาในด้านที่เป็นไปได้ คือ
ไม่ว่าคุณทำอาชีพอะไร ต้องคิดว่า คุณต้องทำได้ คุณต้องได้เงิน และมีเงินได้
คุณต้องประสบความสำเร็จได้

2 คนรวยคิดรวย คิดได้อย่างมีเป้าหมาย ว่าต้องการอะไร

คุณต้องรู้สิ่งที่คุณต้องการก่อน แล้วจึงคิั้ดที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมา โดยกำหนดเป้าหมายที่จะให้ได้สิ่งนั้นเมื่อไรในอนาคต และต้องการจะได้มากน้อยแค่ไหน ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะได้สิ่งนั้นมาภายในเวลาที่กำหนด เมื่อคุณต้องการ โดยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะก้าวไปสู่การมีเงิน มีฐานะดี มีความเป็นอยู่ดี เป้าหมายของคุณก็คือ ต้องการมีเงิน มีฐานะ และความเป็นอยู่ดี โดยคิดมุ่งหวังอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา

3 คนรวยตั้งปณิธานว่า ต้องรวยให้ได้ในชีวิตนี้

คนจนไม่เคยตั้งปณิธานว่าจะต้องรวยให้ได้ในชีิวิตนี้ คนเราส่วนมากคิดดีอย่างมีเหตุผล ว่าทำไมจึงอยากรวย เพราะความร่ำรวย มีเงินมีทองนั้นหมายถึง การที่จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะถ้าหากมีเงินร่ำรวย แต่มาจนด้านสุขภาพจิตและร่างกายเสียแล้ว เป้าหมายที่จะมีเงินร่ำรวยอย่างต่อเนื่องก็ต้องหยุดชะงักลงทันที สิ่งทีดังนั้น เป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือ ต้องมีสุขภาพดี อยู่เสมอด้วยเช่นกัน

สิ่งที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ คนส่วนมากไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ นั้นเป็นอะไร เป็นสิ่งใด ส่วนคนรวยนั้น จะรู้สิ่งที่เขาต้องการอย่างชัดเจน แล้วก็คิดมุ่งมั่นอยู่กับ
สิ่งที่เขาต้องการโดยไม่มีวันหยุด เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนาให้จงได้ แต่ไม่ได้ทำผิดกฏหมายและศีลธรรม

ความคิดที่ต้องมีเงินหรือร่ำรวยนั้น ไม่เหมือนกับความคิด เดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ ต้องคอยกำหนดจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องการอันเป็นเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ด้วยความพากเพียรพยายามอย่างไม่หยุดคุณต้องมีความเชื่ออยู่ในจิตว่าคุณต้องทำได้ แต่ถ้าไม่มีความตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่วแล้ว การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่คุณปรารถนนั้นก็เป็นไปได้ยาก

4.คนรวย คิดใหญ่ คิดอย่างมีพลัง คิดต้องได้ คิดต้องมี

คนจน คิดเล็ก คิดได้ก็ดี ไม่ได้ช่างมัน ความลับของความร่ำรวยแท้จริงแล้วอยู่ที่ พลังอำนาจของความคิด ขึ้นอยู่กับผู้คิด คิดอย่างไรมักได้อย่างนั้น บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดหรือรู้จักคิดย่อมใช้พลังอำนาจของความคิดเป็นพลังงานดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาสู่ตนได้ พลังความคิดที่จะเกิดผลได้ จะต้องมีความเชื่อร่วมด้วย

5.คนรวย ไม่คิดถึงปัญหา หากมีปัญหาก็คิดว่าเป็นแรงเสริมให้
มุ่งมั่นเข้มแข็งขึ้น

คนจน คอยคิดถึงแต่ปัญหา หากมีปัญหาก็ยอมแพ้ หยุดสู้ต่อไป การที่จะร่ำรวยได้นั้น ไม่เหมือนกับการเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ แต่หากเป็นการเดินทางที่ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ดังที่นักประพันธ์บางคนกล่าวว่า ชีิวิตเรานั้นใช่ว่าจะเดินอยู่บนกลีบกุหลาบ หากต้องเดินอยู่บนถนนที่ขรุขระหรือมีขวากหนามบ้าง ชีวิตจึงจะมีรสชาติ เป็นคำกล่าวที่จริงทีเดียว คนที่จะมีเงินมีทองได้ต้องทำงานหนัก คนที่จะมีชื่อเสียงได้ต้องทำงานหนัก ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แล้วจะได้เงินได้ทอง ได้ชื่อเสียง ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคน ล้วนแล้วแต่เป็นนักผจญภัยชีวิตที่ยอดเยี่ยม ฟันฝ่าอุปสรรคนานาชนิดมามากมาย กว่าจะมาถึงจุดนี้คือจุดที่มั่งมีเงินทอง มีชื่อเสียง

คนจน เห็นอุปสรรคความยากลำบากเข้าหน่อยก็เกิดความท้อใจ พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความยากลำบากอยู่เสมอ ไม่เคยคิดกล้าที่จะฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากนั้นเลย ชอบความเป็นอยู่ที่ง่าย ๆ สะดวกสบาย บุคคลประเภทนี้ยากที่จะเจริญ ยากที่จะร่ำรวย และยากที่จะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงได้

คนรวย ไม่มีความย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้นเห็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่ ช่วยพัฒนาให้มีพลังจิตที่กล้าแข้งอดทน และก่อให้เกิดประสบการ์ณ ก่อให้เกิดปัญญาที่ช่วยให้รู้วิธีแก้ไขต่อไป ไม่ว่าอุปสรรคชนิดใดเข้ามา ก็จะเอาประสบการ์ณและปัญญาในอดีตมาฟันฝ่าแก้ปัญหานั้น ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

6.คนรวย พยายามจ้องมองหาโอกาสอยู่เสมอ

คนจน พยายามจ้องมองหาปัญหาอยู่เสมอ คนรวยเป็นคนที่แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนอยู่เสมอ เป็นการเตรียมตัวรอโอกาสที่จะมาถึง เปรียบดังชาวประมงที่เตรียมใบเรือให้พร้อมอยู่เสมอพอลมมาก็แล่นเรือ
ออกสู่ทะเลลึกได้ทันที การเตรียมความรู้ความสามารถให้พร้อมอยู่เสมอเป็นการดีเมื่อโอกาสมาถึงก็สามารถตอบรับโอกาสนั้นได้ทันที

คนจนมักเป็นคนที่ชอบความสะดวก ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่คิดด้ิิ้นรนแต่ประการใด ไม่รักความรู้ ไม่คิดแสวงหาความรู้เลย ไม่เตรียมตัวเพื่อการใด ๆไม่เคยคิดถึงโอกาส และคิดว่าชีวิตนี้ของตนเอง คงไม่มีโอกาสที่จะมีงานที่ดีคิดว่าไม่มีทางที่จะมีเงินร่ำรวยอีกแล้ว จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามมีตามเกิดหรือตามยถากรรม เหมือนปลาตายที่ลอยตามน้ำเท่านั้น ในโลกทางการเงิน ความกล้าเสี่ยงบางครั้งก็ทำให้ได้รับรางวัลของความกล้าเสียงได้อย่างคุ้มค่า รางวัลที่สูงค่า ย่อมต้องกล้าสู้ความเสี่ยงที่สูงด้วยเช่นกัน คนรวยมักเป็นผู้ที่กล้าเสียงเสมอ

คนรวย มีความคาดหวังต่อความสำเร็จ เขามีความมั่นใจต่อความสามารถของเขา มีความมั่นใจต่อความคิดสร้างสรรค์ตลอด และมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำต้องประสบความสำเร็จ

คนจน มีความคาดหวังต่อความล้มเหลว เพราะเขาขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของเขา และคิดว่าสิ่งที่เขาทำคงเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ เขาเชื่อว่า ถ้าเขาทำไปจะต้องประสบความหายนะแน่นอน

อย่างไรก็ตาม คนเราเกิดมา ถ้ามีร่างกายครบสมบูรณ์ มีจิตใจเป็นปกติดี และรู้จักใช้ความคิด ย่อมต้องทำบางสิ่งเพื่อเป็นการลงทุนให้กับชีวิตบ้าง เริ่มตัดสินใจ ตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มีการเงินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม ควรแสวงหาโอกาสที่จะสร้างผลกำไรให้แก่ชีวิตของตน แทนที่จะคิดถึงการขาดทุน สูญเสีย และล้มเหลว

วันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพัฒนาศักยภาพในการปลุกความคิดให้มีพลังอำนาจของความคิดปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกอย่างชัดเจน เป็นพลังผลักดันให้ท่านมีความคิดที่มีพลังมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายได้อย่างประสบ
ความสำเร็จ สมความปรารถนา
ขอบคุณข้อมูลดีจาก
http://xn--h3c1bof5d1c.blogspot.com/

หนทางรวย พ่อค้าหรือเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

พ่อค้าหรือเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

 คนที่สามารถประกอบกิจการการค้าได้ประสบความสำเร็จขายของได้กำไรเป็นทวีตรีคูณ จะมีลักษณะการทำงานดังต่อไปนี้

1. มีตาดี (จักขุมา) คือ มีสายตาอันยาวไกล รู้จักสินค้า ดูของเป็น คำนวณต้นทุนเก็งกำไรได้อย่างแม่นยำและสามารถมองไกลไปถึงอนาคตด้วยว่า อนาคตความเป็นไปทางการค้าและธุรกิจจะมีทิศทางไปทางไหนและสามารถปรับตัวได้ทันท่วงที

2. มีความจัดเจนในธุรกิจ ( วิธุโร) คือ มีหัวการค้า รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหวของตลาด สามารถในการจัดซื้อจัดจำหน่าย คือซื้อของถูกที่สุดและคุณภาพดีได้มากที่สุด และสามารถขายออกไปในคราวละมาก ๆราคาเหมาะสม นอกจากนั้นยังรู้จักสงเคราะห์คนที่อยู่รอบข้างรวมไปถึง ญาติและมิตรสหายด้วย

3. มีแหล่งเงินทุนที่พร้อมและพึ่งพาได้ (นิสสะยะสัมปันโน) คือ มีความรู้จักคนมาก กว้างขวางในวงการ หาทางสนิทสนมกับคนที่มีอำนาจและมีฐานการเงินที่มั่นคงด้วยวิถีทางที่ฉลาดและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
แต่ถ้าหากได้กระทำการครบทุกอย่างตามนี้แล้วยังประสบปัญหาต่าง ๆไม่หยุดหย่อนก็แสดงว่า บุญของเรายังไม่มากพอที่จะรับหน้าที่ความรับผิดชอบนี้ เปรียบเหมือน งานนั้นมันเกินบุญของเรา บุญของเราไม่พอที่จะรองรับงานนี้ เหมือนคำเปรียบเปรยที่ว่า “วาสนาไม่ถึง” เพราะเมื่อดำเนินกิจการใด ๆไปแล้วทั้ง ๆที่เมื่อก่อนธุรกิจขนาดยังมีแค่เล็ก ๆก็บริหารไปได้ดี แต่พอมีการขยายกิจการมากขึ้น กลับมีแต่ปัญหาใหญ่ให้ตามแก้ไม่รู้จบจนขาดทุนแสดงว่า บุญเรายังไม่ถึงพอต้องเร่งสร้างบุญบารมีเพิ่มด้วยวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมด คือหลักแห่ง ทาน ศีล ภาวนาโดยเร่งด่วน ให้บุญมากพอจะรองรับได้


3.ต้องมีกัลยาณมิตร หรือคนคอยสนับสนุนที่ดี
คนเรานั้นเรียกได้ว่า ไม่มีใครสามารถยิ่งใหญ่หรือเติบโตมาได้เจริญรุ่งเรืองได้เพียงเพราะลำพังตนเองคนเดียว เหมือนน้ำทุกหยดต้องมีต้นน้ำ ผู้ที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยทุกคนย่อมมีผู้คอยช่วยเหลือสนับสนุน คือมีทั้งพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และมิตรสหายที่จะคอยสนับสนุนส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น

การค้นหาบุคคลเพื่อขอความช่วยเหลือนั้นทำอย่างไร ?
การจะค้นหากัลยาณมิตรที่ดีเช่นนี้เราจะค้นหาพบปะได้อย่างไร อย่างแรกอยู่ที่บุญเก่าและกรรมของเราจะนำพาไป ซึ่งหากยังไม่พบก็ต้องเร่งสร้างบุญใหม่ทำกรรมใหม่ให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กัลยาณมิตรที่ดีจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอบายมุขหรือเข้าไปอยู่ในสถานที่ “อโคจร” พาให้เสื่อมโดยเด็ดขาด เพราะไม่ใช่ที่ๆคนดีและคนเจริญเขาอยู่

เคล็ดลับในการจะพบเจอกัลยาณมิตรที่ดีนั้น ขอให้สร้างบุญด้วย ทาน ศีลและภาวนาให้มากแล้วทำ “การอธิษฐานพึ่งบุญ” เข้ามาช่วย เพื่อให้มีตัวกลางซึ่งเป็นผู้ที่มีบุญบารมีที่มากพอเข้ามาช่วยเหลือเราโดยเมื่อทำบุญแล้วก็อธิษฐานบุญอุทิศเชื่อมบุญไปให้คนที่เราต้องการไปขอความช่วยเหลือ โดยทำการเอ่ยชื่อท่านผู้นั้นหรือบุคคล นั้น รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เราให้การเคารพนับถืออยู่เพื่อช่วยเสริมพลังช่วยอีกแรงหนึ่ง

ตัวอย่างคำอธิษฐานพึ่งบุญ (อย่างย่อ)
“ข้าพเจ้า…(เอ่ยชื่อ )…..ขอถวายเครื่องไทยทานอันประกอบด้วย พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร อัฐบริขาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค กับทั้งของบริวารทั้งหลาย เพื่อน้อมถวายเป็นพระสังฆทานน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา อริยสังฆบูชา และขอน้อมอานิสงส์ผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้

อุทิศให้แก่เทพเทวดาที่รักษาตัวของข้าพเจ้า อุทิศให้แก่เทพเทวดาอารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง ที่สถิตอยู่ในอาณาเขตพื้นที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบวิชาชีพการงานของข้าพเจ้า คือ (…เอ่ยที่อยู่ หรือที่ทำงาน….) และอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังจะมาถึงตัวข้าพเจ้า

อุทิศให้แก่….. (เอ่ยชื่อ ผู้ที่เราต้องการไปขอพึ่งบารมี หรือขอความช่วยเหลือ)…พร้อมทั้งระบุตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา และอุทิศให้เทพเทวดาที่รักษาตัวของท่านผู้นั้น อุทิศให้แก่เทวดาอารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง ที่สถิตอยู่ในอาณาเขตพื้นที่พักอาศัย และสถานที่ประกอบวิชาชีพการงานของท่านผู้นั้น…(เอ่ยที่อยู่ของท่าน)… และอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังจะมาถึงตัวท่านผู้นั้น

ขออานิสงส์ผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้เมื่อโมทนาพระคุณความดีในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์ ทุกท่าน บิดามารดาครูบาอาจารย์ และบุคคลทั้งหลายที่มีอุปการคุณต่อข้าพเจ้าทุกท่านขอเมตตาบารมีของทุกพระองค์ทุกท่านได้โปรดแผ่เมตตาบารมีให้ข้าพเจ้า …(เอ่ยชื่อตนเอง)… ได้สำเร็จความปรารถนาในหน้าที่การงานที่ปรารถนาอยู่ในขณะนี้ด้วยเทอญ”

ขออนุญาตินำมาเผยแพร่ 01/01/2015

หนทางรวย การแก้ปัญหาการเงิน โดย ธ. ธรรมรักษ์

หนทางรวย การแก้ปัญหาการเงิน,การงานและสร้างความรวยอย่างเร่งด่วนจะทำอย่างไร
ธันวาคม 13, 2013 โดย ธ. ธรรมรักษ์



วิธีการแก้ปัญหาเรื่องการเงินและการงานที่กำลังเกิดขึ้นที่ผู้เขียนต้องการจะบอกกล่าวแนะนำดังต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับทางความเชื่อแต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากครูบาอาจารย์ชั้นนำหลายท่านของเมืองไทย ผู้เขียนขอน้อมโมทนาบุญที่จะเกิดแก่หนังสือเล่มนี้แด่ท่านเหล่านั้นรวมถึงคุณผู้อ่านทุกท่านที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ที่จะได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาอย่างสูงสุดแต่อย่างไรก็ตามการที่ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านมากน้อยเพียงใดนั้น ก็อยู่ที่ตัวของคุณผู้อ่านทุกท่าน

ต้องเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนี้โดยต้องเริ่มจากการหยุดการกระทำบาปหยุดการกระทำที่ไม่ดีทั้งปวงให้หมดสิ้นเสียก่อน ถ้าไม่ปิดทางชั่ว จะไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย บุญกุศลก็จะเข้ามาช่วยไม่ได้เพราะบาปนั้นปิดทางอยู่
เมื่อปิดทางชั่วแล้ว ขอให้น้อมนำบุญที่เราสร้างทั้งทาน  ศีล ภาวนา  เป็นการสร้างบุญบารมีใหม่ในชาตินี้ให้เป็นบุญของตนเองที่จะทำการให้ อภัยทาน แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญกุศลและเชื่อมส่งบุญให้ถึงกันเพราะถ้าเราไม่มีบุญเป็นของตนเองก็คงไม่อาจนำบุญที่ไหนไปเชื่อมและส่งต่อให้กับผู้อื่นได้

1.  สร้างอาชีพที่มั่นคงและไม่บาป
ในที่นี้อยากจะขอให้คุณผู้อ่านแยกระหว่างสองคำนี้ออกจากกันคือ อาชีพที่มั่นคงอย่างหนึ่ง และอาชีพที่ไม่บาปอีกอย่างหนึ่ง คำว่าอาชีพที่มั่นคงนั้นมีความหมายว่า เป็นอาชีพใดๆก็ได้ที่ทำแล้วสามารถมีรายได้มาหล่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างต่อเนื่องโดยที่แม้ว่าจะหยุดทำงานนั้นหรือพักงานนั้นไปบ้างก็ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด นี่คือความหมายของคำว่ามั่นคงในทางทรัพย์สิน ซึ่งในแง่ของความมั่นคงในด้านของรายได้นี้เป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ที่พึงปฏิบัติเท่านั้น และที่สำคัญไม่มีใครสามารถหยุดทำงานไปเลยได้อย่างแท้จริง เพราะทุกคนต้องมีงานทำ เพื่อให้ชีวิตมีคุณค่าและมีชีวิตชีวา

แต่ ประเด็นสำคัญที่มากกว่าความมั่นคงก็คือ อาชีพนั้นต้อง “ไม่บาป” ซึ่งถือเป็นความมั่นคงและร่ำรวยอย่างแท้จริงที่จะทำให้เป็นสุขไปได้อย่างยาวนาน ไม่บาปในที่นี้หมายความว่าไม่ใช่แค่สุจริตเฉยๆ แต่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวม
โดยทุกอาชีพนั้นการประกอบอาชีพใด ๆต้องมีจรรณยาบรรณ คือมีศีลอยู่ในการควบคุมอาชีพนั้นอยู่แล้วเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่สังคม เพราะแม้ว่าบางคนจะมีอาชีพเป็นถึงนายแพทย์ที่รับเงินเดือนสูง ๆแต่กลับใช้วิชาชีพเพื่อก่อความร่ำรวยในทางที่ผิดเช่นเป็น สูตินารีแพทย์ดูแลผู้ป่วยหญิงในโรงพยาบาลตอนเช้า ตกเย็นมาเปิดคลินิกรับทำแท้งแบบถูกกฎหมายก็ไม่เรียกว่า การสร้างอาชีพที่มั่นคงและไม่บาป อย่างนี้เป็นต้น

“สัมมาอาชีวะ” ในความหมายของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่อาชีพนั้นสุจริตแต่ในอาชีพนั้นยังสามารถทำให้เราพัฒนาจิตได้ด้วย เช่น ถ้าเราทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วทำให้เราลด ละ ความเห็นแก่ตัว ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้คุณเหนื่อย ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้รับการยกย่อง แต่เราก็ยังทำ เพราะมันเป็นสิ่งที่ดี ผลประโยชน์ไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่งานที่ทำแต่กลายเป็นการละกิเลสออกจากใจได้ด้วย ถ้าเราสามารถทำงานอย่างมีสติการทำงานสร้างเงินก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นงานที่ใช้แรงกายหรือแรงสมองก็สามารถพัฒนาจิตได้ทั้งนั้นคือสามารถ พัฒนาให้มีเมตตา กรุณา มีสมาธิ ลด ละความเห็นแก่ตัว ส่วนการพัฒนาปัญญาก็คือ เราใช้การทำงานเป็นโอกาสในการเข้าใจชีวิต เรื่องของการงาน มีทั้งความสำเร็จ ความล้มเหลว ทั้งลาภยศ สรรเสริญ และการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เราจะเข้าใจว่าวิถีแห่งโลกมันเป็นอย่างนี้เองต้องปล่อยวางให้ได้ ไม่ยึดติด ถือมั่นกับสิ่งใด

สิ่งสำคัญในการยึดถือปฏิบัติในทุกอาชีพก็คือ ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการทำงานทุกอย่าง แม้ว่างานนั้นจะไม่ใช่งานที่เราชอบก็ตาม เพราะ หากเราไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้ก็ควรเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ทำงานที่เราไม่ชอบ เพราะมันไม่ตรงกับความคาดหวังของเราซึ่งคนส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับการตำหนิติเตียน น้อยอกน้อยใจหรือแม้แต่การตีโพยตีพายบ่นเรื่องเจ้านาย เรื่องเงินเดือน บ่นเรื่องเนื้องาน ฯลฯ

ขอให้เราลองวางมันลงลองปรับใจเสียใหม่ว่า ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทไหน ให้ทำอย่างเต็มที่ ด้วยความตั้งใจ การทำงานจะมีความสุขมากกว่าเดิม ส่วนใหญ่ที่เราบ่นเรื่องงานด้วยความไม่ชอบใจ เพราะเรามีมาตรฐานบางอย่างในตนแล้วผลของเนื้องานหรือผลตอบแทนมันไม่เป็นไปตามนั้น เราควรเอาใจใส่กับงานที่ทำอยู่เฉพาะหน้าอยู่ตลอดเวลานอกจากทำให้งานดีขึ้นแล้วจะยังลดความไม่ชอบใจในงานนั้นได้อีกมากด้วย เรียกว่าหากต้องเจองานที่ไม่ถนัดหรือไม่ชอบก็ให้ยอมรับ แต่ไม่ใช่ยอมจำนน จึงจะเจริญก้าวหน้า

เราควรตั้งคำถามเรื่องงานอยู่เสมอว่าเราทำงานเพื่ออะไรอะไรคือคุณค่าสูงสุดของงาน ถ้าคำตอบคือการทำได้ประโยชน์สูงสุดให้กับเพื่อนมนุษย์แล้วเราปรารถนาที่จะทำอย่างเต็มที่ ให้ความเป็นตัวตนได้แสดงออกมาอย่างงดงามได้อย่างทรงพลังเรื่องเงินหรือรายได้ที่จะตามก็จะกลายเป็นเรื่องรองไปทันทีและสามารถสร้างอาชีพที่มีความสุขคือ มั่นคงและไม่บาปได้อย่างแน่นอน

2.  ค้นหาอาชีพที่จะทำให้เรารวยได้
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ไม่ใช่แค่อาชีพสุจริตแต่อาชีพที่เราทำต้องทั้งสุจริตและมีความฉลาดในการหาเงินด้วยเหมือนการขุดถนน ที่ถ้าใช้จอบเสียมก็ใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จแต่ถ้าใช้รถแบ็คโฮ มาช่วยขุดผลสำเร็จก็จะเกิดเร็วขึ้นมากกว่า ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมากมายว่าอาชีพที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้นั้น คือการเป็น “เจ้าของธุรกิจ” หรือ เป็น “นักลงทุน” ตามหลักการพิสูจน์ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกเรื่องของเงินสี่ด้าน เพราะคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนนั้นแม้จะหยุดทำงานแต่เขาก็สามารถมีรายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะลางานไปเป็นปี ๆ เมื่อกลับมาทำงานต่อรายได้ก็ยังเกิดขึ้นเสมอ

แต่เพราะโลกแห่งความเป็นจริงคนเรายังไม่อาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนกันได้ทุกคน แต่อย่างไรก็ตามทุกคนควร “ริเริ่ม” แนวคิดของการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลาแม้ในขณะนี้เราจะยังเป็นลูกจ้างประจำ,ข้าราชการ หรือ ผู้บริหารระดับสูงที่แม้เงินเดือนจะมากก็ควรคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้เสมอ
การจะเริ่มต้นทำธุรกิจใด ๆเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ธุรกิจนั้นจะทำให้เราประสบความสำเร็จนั้นขอให้พิจารณาประเด็นหลักแรกที่สุดคือ “ธุรกิจนั้นต้องเป็นธุรกิจที่ก่อประโยชน์ให้กับผู้คนจำนวนมากและมีความหลากหลายให้มากที่สุด”


หากเราพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ท่านได้เป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลเช่นนั้นก็เพราะมีผู้ที่ได้ประโยชน์เป็นการสาธารณะมากคือ การเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่ทุกคนต้องซื้อกินซื้อใช้ ท่านจึงร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ดังนั้นการจะมองว่าธุรกิจหรืออาชีพใดที่จะทำให้เรารวยได้ธุรกิจนั้นก็ควรเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่มองว่าจะได้กำไรมากเป็นที่ตั้งเพราะการเน้นได้เงินได้กำไรมากเป็นความร่ำรวยแค่ฉาบฉวยไม่อาจจะสร้างความยั่งยืนได้

ข้อพิจารณาที่สอง
 ก็คือ ธุรกิจหรืองานที่เราจะลงไปทำนั้น เรามีความรู้ความถนัดและคุณสมบัติมากแค่ไหนโดยมีหลักพิจารณาตามแนวพระพุทธองค์ว่า พ่อค้าที่จะประสบความล้มเหลวและประสบความสำเร็จนั้นให้พิจารณาคุณสมบัติดังต่อไปนี้

พ่อค้าหรือเจ้าของธุรกิจที่ล้มเหลวในอาชีพ
คือไม่สามารถทำโภคทรัพย์ที่ยังไม่มีให้มีขึ้น และที่มีอยู่แล้วก็ไม่สามารถทำให้เจริญงอกเงยเป็นทวีคูณ แปลความว่า ยิ่งทำยิ่งขาดทุน ก็จะมีลักษณะความประพฤติ ไม่ว่าเวลาใด เช้า เที่ยง หรือเย็น ก็จะไม่จัดแจงการงานให้เอื้อเฟื้อเป็นประโยชน์ ก็คือมัวแต่เกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ในอาชีพของตน ไม่อุทิศกายวาจาใจให้งาน ไม่มีวิญญาณความเป็นเถ้าแก่ คนที่เป็นเจ้าของกิจการกลับมีวิญญาณเหมือนคนเป็นลูกจ้าง คือทำไปตามหน้าที่ สิ้นเดือนรับค่าจ้างตายตัว ถ้าเจ้าของกิจการทำตัวเหมือนลูกจ้างก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ